สถานที่ท่องเที่ยวประเทศฝรั่งเศส
หอไอเฟล(Eiffel)
หอไอเฟลเป็นหอคอยเหล็กตั้งอยู่ที่ Champ de Mars ในกรุงปารีส เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส หอคอยแห่งนี้เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก
หอคอยแห่งนี้ถูกตั้งชื่อตามผู้ออกแบบคือ Gustave Eiffel ทำการสร้างในระหว่างปี 1887-1889 น้ำหนักของหอไอเฟลคือ 7300 ตัน ยอดของหอคอยสามารถเบนออกจากแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังยอดหอคอยถึง 18 เซนติเมตร (7นิ้ว) ทั้งนี้ขึ้นอยูกับอุณหภูมิของเหล็กด้านที่หันหน้าเข้าสู่แสงอาทตย์ซึ่งจะ ขยายตัวเนื่องจากความร้อนที่ได้รับ นอกจากนี้ตัวหอคอยแห่งนี้ยังมีการแกว่งตัวตามแรงลมอีกด้วย โดยการแกว่งตัวอยู่ที่ระดับ 6-7 เซนติเมตร (2-3นิ้ว)ในการก่อ สร้างหอคอยแห่งนี้ ใช้คนงานก่อสร้างถึง 300 คน เพื่อประกอบเหล็กจำนวน 18038 ชิ้นเข้าด้วยกัน โดยใช้หมุดถึง 2.5 ล้านตัว ความเสียงที่จะเกิดอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้างสูงมาก เนื่องจากหอไอเฟลแตกต่างจากตึกสูงในปัจจุบันตรงที่เป็นหอเปลือย ไม่มีจำนวนชั้น อย่างไรก็ตามมีการเตรียมตัวรักษาความปลอดภัยในการก่อสร้างอย่างเต็มที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในการก่อสร้างเพียงคนเดียวเท่านั้นในระหว่างการก่อสร้าง หอไอเฟลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงรูปร่างของหอคอย Gustave Eiffel ถูกกล่าวหาว่าพยายามสร้างงานศิลปะที่ดูแล้วไม่มีศิลปะ การก่อสร้างให้หอคอยแกว่งตัวได้ไม่คำนึงถึงหลักวิศวกรรมศาสตร์อย่าง ไรก็ตาม Gustave Eiffel ซึ่งมีชื่อเสียงมาจากงานก่อสร้างสะพาน กลับเป็นผู้ที่เข้าใจความสำคัญของแรงลม และเป็นผู้ที่รู้ว่าการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในโลก(ในขณะนั้น) จะต้องแน่ใจว่ามันต้องต้านทานลมได้ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 หอไอเฟลถูกใช้เป็นศูนย์รับส่งสัญญานวิทยุ เมื่อปี 1909 ศูนย์วิทยุถูกก่อสร้างขึ้นอย่างถาวรที่หอไอเฟล และยังปรากฎให้เห็นในปัจจุบัน
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre museum)
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre) หรือในชื่อทางการว่า the Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์กาเปเซียง ตัวอาคารเดิมเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่า ระดับโลกเป็นจำนวนมากกว่า 35,000 ชิ้น จากตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงศตวรรษที่ 19 อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่งแอนทีออก ในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส
พระราชวังแวร์ซายส์ (Versaille Palace)
พระราชวังแวร์ซายส์ (ภาษาฝรั่งเศส: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย
ประวัติ
เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัย สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิด
การปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919
นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ
การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎร ชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม หากนับเวลาตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ พระราชวังแห่งนี้ก็มีอายุยืนนานถึง 300 ปีเศษ ที่ยังคงความงามอยู่ได้โดยไม่เสื่อมคลายพระราชวังแวร์ซายส์ได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้
ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe)
เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งดวงดาวทิศตะวันตกของชองป์-เซลิเซ่ส์ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย ประตูชัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ"แนวเส้นตรงทางประวัติศาสตร์" (L'Axe historique) ซึ่งเป็นถนนเส้นตรงจากสวนพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ไปยังชานเมืองปารีส
ประตูชัย แห่งนี้ออกแบบโดยฌอง ชาลแกร็งในปีพ.ศ. 2349 โดยมียุวชนเปลือยชาวฝรั่งเศสกำลัง ต่อสู้กับทหารเยอรมัน เต็มไปด้วยเคราและใส่เกราะเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นการปลุกใจ และเป็นอนุสรณ์สถานจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ประตูชัยฝรั่งเศสมีความสูง 49.5 เมตร (165 ฟุต) กว้าง 45 เมตร (148 ฟุต) และลึก 22 เมตร (72 ฟุต) เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
แบบของประตูชัยฝรั่งเศสนี้ได้แนวความคิดมาจากประตูชัยไตตัส ประตูชัยฝรั่งเศสมีความใหญ่มาก เพราะหลังจากมีการสวนสนามในปรุงปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2462 นีอูปอร์ต (Nieuport) ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีเหล่าทหารอากาศที่ได้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประตูชัยฝรั่งเศสเป็น หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีสได้ถูกมอบหมายให้ สร้างในปี พ.ศ. 2349หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์ กว่าจะวางรากฐานของการก่อสร้างก็ใช้เวลาเกือบ 2 ปีไปแล้ว และในปี พ.ศ. 2353 เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เสด็จกรุงปารีสจากทางทิศตะวันตกพร้อมด้วยเจ้าสาว อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย ประตูชัยฝรั่งเศสก็ถูกสร้างขึ้นด้วย ไม้ในแบบจำลองเท่านั้นเอง สถาปนิก ฌอง ชาลแกร็ง ได้เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2354 ดังนั้นอูยงจึงได้ดูแลงานนี้ต่อมา ในช่วงราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู การก่อสร้างได้หยุดชะงักลงและไปเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ใน ระหว่าง พ.ศ. 2376 - พ.ศ. 2379 โดยสถาปนิกคือกูสต์ ต่อมาคืออูโยต์ ภายใต้การดูแลของหลุยส์-เอเตียนน์ เอริการ์ต เดอ ตูรี (Louis-Étienne Héricart de Thury)
มหาวิหาร Notre-Dame
(Cathédrale Notre Dame de Paris) มหาวิหารนอเทรอดาม (Cathédrale Notre Dame de Paris) เป็นมหาวิหารสมัยกอธิคตั้งอยู่ ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มหาวิหารนอเทรอดามนั้น ถือได้ว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในลักษณะกอธิคแบบ ฝรั่งเศส วัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วียอเลต์ เลอ ดุค ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส มหาวิหารนอเทรอดาม เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1163 ระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ส่วนที่ จะว่าใครเป็นผู้วางศิลาฤกษ์นั้นไม่แน่บางหลักฐานก็ว่าบิชอปซุลยีเองบางหลักฐานก็ว่าสมเด็จพระ สันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 3เป็นผู้วางแต่ที่แน่คือทั้งคนเข้าร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์ ตั้งแต่นั้นมาบิชอปซุลยี ก็อุทิศชีวิตให้กับการสร้างมหาวิหารนี้ เริ่มการก่อสร้างทางด้านหน้าหรือด้านตะวันตก ซึ่งมีหอคอยสองหอ เมื่อราวปี ค.ศ. 1200 ก่อนที่ จะสร้างโถงกลางของตัววัดเสร็จ ซึ่งไม่ตรงกับหลักการสร้างสิ่งก่อสร้างตามแบบฉบับ วัดนี้มีสถาปนีก หลายคนที่มีส่วนในการก่อสร้าง จะเห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงของรูปทรงไปตามสมัยนิยมของสถาปนิก เป็นต้นว่าหอสองหอทางด้านตะวันตกจะไม่เท่ากัน
ล่องเรือแม่น้ำแซนต์ (Seine)
ล่องเรือแม่น้ำแซนน์ ชมวิวทิวทัศน์กันบนดาดฟ้าเรือ
ชื่นชมความงามของทัศนียภาพของนครปารีส
ได้ชื่อว่าเป็น นครที่มีความงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ชมสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองสองฝั่งของแม่น้ำ
แซนน์ โบราณ สถาและอาคารที่เก่าแก่สร้างด้วยศิลปะแบบเรอเนสซองส์ ควรค่าแก่การอนุรักษ์
และทำให้
ปารีสโดดเด่นเป็นมหานครที่งดงามแห่งหนึ่งของโลก
การล่องเรือในยามใกล้ค่ำเป็นทางเลือกที่ดี เรียกว่า สุดยอดโรแมนติกทีเดียว ได้สัมผัสความน่ารัก ของเมืองปารีสกันเต็มที่ ว่ากันว่า “แม่น้ำแซน” เป็นแม่น้ำสายหลักทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองปารีส เลยจ้า เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ 1949 มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการแล้วกว่า 100 ล้านคนแล้ว การล่องเรือได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง ในการเที่ยวชมผ่านสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองริมสองฝั่งแม่น้ำแซน ที่มีตึกสวยงามเพียบ บางช่วงมีเกาะกลางน้ำ เช่น ผ่านชม โบสถ์นอร์ทเทรอดาม สร้างด้วยศิลปะแบบโกธิค ที่ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีอย่างงดงาม ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับพิธีราชาภิเษก นักโปเลียน ขึ้นครองราชย์ มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี ผ่านหอไอเฟล ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 19 โครงสร้างเป็นทำด้วยเหล็ก ทั้งหมด ถือเป็นสัญลักษณ์ ของเมืองปารีสอยู่จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม การนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตกดินนั้น ท่านควรเลือกที่นั่งหลังสุด เพราะเป็นบริเวณที่ ไม่มีหลังคา ไม่ล้อมด้วยกระจก และบริเวณนี้คือ จุดชมวิวดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพสวยๆ ยามพระอาทิตย์ ตกยิ่งพอลมแม่น้ำปะทะหน้า ทำให้รู้สึกสดชื่นมากๆ เห็นวิวสองฝั่งแม้น้ำเต็มตา สดชื่น ประทับใจไม่รู้ลืม
มหาวิหารซาเคร-เกอร์
(Basilique du Sacré-Cœur de Montmartre) โบสถ์และมหาวิหารรองในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของกรุงปารีส หรือที่ เรียกกันว่า "มงมาทร์" สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระหฤทัยของพระเยซู ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว หลักของกรุงปารีสโดยถือเป็นอนุสาวรีย์ของทั้งสองด้าน คือการเมือง และวัฒนธรรม โบสถ์ได้ถูกออกแบบโดยโปล อะบาดี ซึ่งเป็นสถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่เป็นหนึ่งใน 77 สถาปนิกผู้ชนะการ ประกวด เริ่มการก่อสร้างในปี ค.ศ.1875 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1914 โดยได้รับการแต่งตั้งโดยสมบูรณ์ (วางศิลาฤกษ์) ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1919 ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวันตั้งแต่ 06.00 น. จนถึง 22.30 น. โดยสามารถเข้า ชมบริเวณโดมได้ตั้งแต่ 09.00 น. จนถึงเวลา 19.00 น. หรือ 18.00 น. ในช่วงฤดูหนาว
โบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ (Sainte Chapelle)
ถัดจากโบสถ์นอทเทอร์ดัม มีโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์
ซึ่งเป็นโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวปารีส
สร้างในสไตล์กอธิค
มีการประดัประดาด้วยงานกระจกสีสวยงามมากมาย
จนนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมชมต่าง
ยอมรับว่ากระจกที่ใช้ตกแต่งโบสถ์มีความงด
งามที่สุดยิ่งเมื่อแสงจากภายนอกส่องเข้ามา ยิ่งทำให้มอง
สำหรับคำแนะนำในการเยี่ยมชมโบสถ์แซงต์ ชาแปลล์ (Sainte Chapelle)
ควรเยี่ยมชมช่วงเช้าดีที่สุด เห็นลายกระจกชัดเจนและสวยงามมาก
เพราะนักท่องเที่ยวไม่เยอะ
หากไปช่วงอื่นต้องรอคิวเยี่ยมชมเพราะโบสถ์แซงต์
ชาแปลล์เป็นโบสถ์ขนาด
เล็กมาก
เลแซงวาลิด (Les Invalides (Napoleon's Tomb)
Les invalides หรือ l’hôtel des Invalides
( เลแซงวาลิด ) อาคารที่มีโดมสวยงามนี้ตั้งอยู่ที่
กรุงปารีส สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1714 ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อเป็นโรงพยาบาลที่พักทหารที่บาด เจ็บและพิการจากสงครามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1670 ส่วนใหญ่ของอาคารหลังนี้สร้างโดยสถาปนิกJules Hardouin Mansart ส่วนโดมและวัด ( Chapelle ) สร้างในสมัยนโปเลียนที่ 1 ในปี ค.ศ. 1840 ได้นำ พระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1ไปไว้ในChapelle เรียกว่า Chapelle des Soldats มีศพนายพล พระสหายของพระเจ้านโปเลียนหลายคนฝังอยู่ด้วย
ปัจจุบัน Les invalides อยู่ในความดูแลของกระทรวงกลาโหม ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ทหาร
( Musée de l’Armée ) โดมซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 นั้นสวยงามมาก เป็นงานชิ้น ที่สวยงามที่สุดในบรรดาโดมทั้งหมดของปารีส สไตล์การสร้างเรียกว่า jésuite สไตล์เจซูอิทนี้เป็นสไตล์ แบบ Contre-Réforme
พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Musee d'Orsay)
พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ เป็นพิพิธภัณฑ์ล่าสุดของประเทศฝรั่งเศส มีลักษณะผสมผสานระหว่าง
พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และศูนย์วัฒนธรรมโบบูร์ก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1986 บนฝั่งแม่น้ำเซนในสถานที่ที่เดิม
เป็นสถานีรถไฟออร์แซของสถาปัตยกรรมแบบโบซาร์
พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ดัดแปลงจากสถานีรถไฟเก่ามาใช้เป็นสถานที่จัดแสดงผลงาน ศิลปะตั้งแต่ สมัยอิมเพรสชั่นนิสต์แห่งนี้ เกิดจากความคิดของประธานาธิบดีฟรังซัวร์ มิตเตอร์รองด์ ที่ต้องการขยับ ขยายสถานที่เก็บรวบรวมผลงานศิลปะนอกเหนือจากที่พิพิธภัณฑ์ ลูฟวร์พิพิธภัณฑ์นี้ รวบรวมศิลปะหลาย
อย่างเข้าด้วยกัน อันได้แก่ ศิลปะด้านการออกแบบสิ่งทอ
ศิลปะทางประวัติศาสตร์ ภาพถ่ายประติมากรรม
ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ของปารีสออกมาได้เด่นชัดเลยทีเดียว
ภายในพิพิธภัณฑ์มีผลงานเด่นๆไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนชื่อก้องโลกของปิกัสโซ่ โมเนต์และมาเนต์
รวมถึงรูปปั้นของโรแดงให้ดูกันจนละลานตา พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์
เปิดทุกวันตั้งแต่ 09.30 – 18.00น.
ยกเว้นวันจันทร์ เฉพาะวันพฤหัสบดีเปิดถึง
21.45 น. ค่าเข้าชม 8 ยูโร ถ้าเข้าหลัง
16.15น.
ในวันที่เปิดปกติและหลัง 20.00 น. ในวันพฤหัสบดี จะเสียค่าเข้าชม 5.5 ยูโร ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า
18 ปี
เข้าชมฟรี
สำหรับเคล็ดลับในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ออร์เซย์
ควรใช้เวลามากหน่อยเพื่อศึกษาศิลปะต่าง ๆ
ที่จัดแสดงอยู่ทั้ง 3 ชั้นของพิพิธภัณฑ์ และที่ไม่ควรพลาดคือ
ร้านอาหารที่มีหน้าต่างกระจกบานใหญ่
ให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำเซนได้อย่างเต็ม
ๆ ตา
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น