วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

Yves Saint Laurent


Yves Saint Laurent


         
          เมื่อกล่าวถึงอีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์ เรามักจะนึกถึงชุด Safari ชุดซีทรู สูทจับสม็อคทั้งตัว ชุดแจ็กเก็ตหนังสีดํา และผลิตภัณฑ์สวยหรูภายใต้สัญลักษณ์ YSL ของ เขา ที่มีตั้งแต่เสื้อผ้า น้ำหอม ปากกา ผ้าห่ม ไปจนถึงบุหรี่ แต่อีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์เป็นมากกว่านั้น นอกเหนือไปจากความโดดเด่นในการเป็นนักออกแบบมืออาชีพ เขายังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นของฝรั่งเศสและของโลกอย่างมากใน ฐานะนักปฏิวัติแห่งวงการแฟชั่นที่พลิกรูปแบบแฟชั่นในแบบดั้งเดิมให้มีสีสัน และรูปแบบดังที่ปรากฏให้เห็นกันในปัจจุบัน ผลงานของเขานั้นไม่ได้มีอิทธิพลจํากัดเฉพาะในฝรั่งเศสเท่านั้น แต่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการแต่งกายทั่วโลก

ผลงานในการปฎิวัติวงการแฟชั่นของเขา ได้แก่

การ พยายามผสมผสานวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวบ้านเข้ากับวัฒนธรรมการแต่งกายของชนชั้นสูงแบบโอต์ กูตูร์ ความคิดแหวกแนวดังกล่าวนี้เป็นเหตุให้เขาถูกให้ออกจากห้องเสื้อ โอต์ กูตูร์ ของ Christian Dior ในปี ค.ศ. 1960

เป็นผู้ออกแบบเสื้อคอเต่า (Turtleneck) และเสื้อแจ็กเก็ตสําหรับขี่รถจักรยานยนต์ และ Bubble Skirts

เป็นผู้นำในการออกแบบชุดทักซิโด และชุดกางเกงทำงานสําหรับผู้หญิงซึ่งเป็นภาพที่ยังไม่เคยมี
ปรากฏในสมัยนั้น ถึงขนาดที่ในปี ค.ศ. 1968 เมื่อแนน เคมป์เนอร์ (Nan Kempner) สาวสังคมอเมริกันเดินถูกห้ามเข้าภัตตาคารเริ่ดหรูในนิวยอร์คเพราะสวมกางเกง YSL!

ในปี ค.ศ. 1967 แซ็งต์ ลอร็องต์ ช็อควงการบันเทิงด้วยการออกแบบคอสตูมที่ดูคล้ายกับชุดทหารให้กับแคธเธอรีน เดอนูฟ ในภาพยนตร์เรื่อง Bell de Jour ชุดของเขาถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดและผิดยุคมากในสมัยนั้นที่ผู้หญิงจะลุกขึ้นมาแต่งตัวในรูปแบบเดียวกับผู้ชาย

การออกแบบชุด See Through ของเขาในปี ค.ศ. 1968 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สําคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์แฟชั่น

แซ็งต์ ลอร็องต์เป็นทั้งบิดาแห่งเมโทรเซ็กซวลและตัวป่วนวงการแฟชั่นแห่งยุคสมัย ในการออกแบบเครื่องแต่งกายสตรี แซ็งต์ ลอร็องต์พยายาม ทําให้สตรีมีความเป็นบุรุษ แต่ในการออกแบบเครื่องแต่งกายบุรุษ แซ็งต์ ลอร็องต์ กลับพยายามทําให้บุรุษมีความเป็นสตรี

นำผ้ากํามะหยี่มาใช้ในการตัดชุดผู้ชาย ใช้ผ้าไหมหลากสีเป็นผ้าพันคอสำหรับผู้ชาย กระบวนการที่กลับกันในการออกแบบของเขาถือเป็นต้นแบบของการออกแบบเครื่องแต่ง กายที่ไม่จําแนกเพศ ( Uni-sex Dress )

นอกจากนี้เขายังทําลายการเหยียดสีผิวในธุรกิจแฟชั่น โดยการริเริ่มให้นางแบบผิวดําเดินแฟชั่นโชว์ ทำให้นางแบบผิวดำและนางแบบผิวสีต่างๆ ได้มีโอกาสแจ้งเกิดบนเวทีแฟชั่นระดับโลก จากเดิมที่จำกัดเฉพาะคนขาวเท่านั้น   

ในปี ค.ศ.1996 เขาได้ริเริ่มการจัดแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าโอต์ กูตูร์ที่มีการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ต
ผลงานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์ เป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้มาก่อนกาล โดยยึดแนวความคิดเสรีนิยมในการออกแบบ ซึ่งเป็นแนวคิดที่จัดว่าล้ำกว่าสมัยมากในยุคของเขา ผลงานของแซ็งต์ ลอร็องต์จึงเป็นงานที่ได้รับทั้งกระแสความชื่นชมและต่อต้านไปในขณะเดียวกัน แต่ในปัจจุบัน กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เราทุกคนเห็นแล้วว่าเขาเป็นนักออกแบบตัวจริง ที่มีทั้งศิลปะในการออกแบบและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างที่นักบริหารควรมี
         ทางด้านชีวิตส่วนตัวนั้น อีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่เมือง Oran ประเทศอัลจีเรีย ในปี ค.ศ. 1936 เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี พ่อของเขาเป็นผู้บริหารเครือข่ายโรงภาพยนตร์ เขาสนใจการออกแบบเครื่องแต่งกายมาแต่เล็กๆ และพรสวรรค์ของเขาเริ่มฉายแววในการแข่งขันการออกแบบเครื่องแต่งกาย International Wool Secretariat contest ในปีค.ศ. 1954 ผลงานนี้เป็นใบเบิกทางให้เขาได้เข้าไปทํางานในสํานักออกแบบเสื้อผ้าของของคริสติออง ดิออร์ (Christian Dior Couture House) ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี จากนั้นก็กลายเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของดิออร์
           หลังจากการถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันของคริสติออง ดิออร์ในปี ค.ศ. 1957 ด้วยวัยเพียง 21 ปี ลอร็องต์ซึ่งมีฝีมืออันโดดเด่น ได้รับเลือกให้เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของห้องเสื้อดิออร์ แต่ชีวิตการทํางานของเขาที่ห้องเสื้อดิออร์มิได้สดใส เพราะแนวความคิดพื้นฐานในการออกแบบเครื่องแต่งกายของแซ็งต์ ลอร็องต์แตกต่างจากผู้บริหารของดิออร์โดยสิ้นเชิง เขาจึงถูกให้ออกจากงานในปี ค.ศ. 1960 หลังจากที่ได้ออกผลงานมาเพียง 6 คอลเลคชั่นเท่านั้น
จากนั้น แซ็งต์ ลอร็องต์ก็ถูกเกณฑ์ทหารเพื่อไปร่วมรบในสงครามกู้ชาติอัลจีเรีย (Algerian war of independence) ภาวะกดดันภายใต้ชีวิตทหารทำให้เขาเป็นโรคประสาทและต้องเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาล หลังการบำบัด ปิแอร์ แบร์เจ (Pierre Berge) ผู้ที่ลอร็องต์พบในงานศพคริสติออง ดิออร์ ตั้งแต่ปีค.ศ. 1957 ช่วยระดมทุนและจัดการให้ แซ็งต์ ลอร็องต์ได้เปิดห้องเสื้อ ”Yves Saint Laurent Haute Couture Hous” ขึ้นในปีค.ศ. 1962 ทั้งสองกลายเป็นทั้งหุ้นส่วนชีวิตและคู่รักแห่งวงการแฟชั่น

หากโลกแห่งแฟชั่นในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตกอยู่ใต้อิทธิพลของโคโค ชาแนล และช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นของคริสโตบอลบาลองซิอากา (Cristobal Balenciaga) และคริสติออง ดิออร์ ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ต้องถือเป็นยุคของแซ็งต์ ลอร็องต์โดยแท้

แซ็งต์ ลอร็องต์ป็นผู้ที่มีบทบาทและอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมการแต่งกายของพลโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอต์ กูตูในประเทศฝรั่งเศส เมื่อ Yves Saint Laurent กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจแฟชั่น ผลงานการออกแบบของเขาจึงเข้าสู่กระบวนการสากลานุวัตร และ YSL กลายเป็นยี่ห้อระดับโลก (Global Brand)

เมื่อเข้าสู่ยุคการปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 ของชนรุ่นที่เรียกกันว่า The Beat Generation แซ็งต์ ลอร็องต์ได้ออกแบบเครื่องแต่งกายเรียกว่า Beat Look ที่เน้นความงามและความสง่าของสตรีเป็นหัวใจในการออกแบบ

           ในด้านหนึ่ง แซ็งต์ ลอร็องต์เสริมความสง่าให้สตรีด้วยเครื่องแต่งกายบุรุษ ดังเช่นด้วยท่าทางอันกระฉับกระเฉง และกลายเป็นภาพคุ้นตาในปัจจุบัน จนนักวิเคราะห์แฟชั่นถึงกับเสนอบทวิเคราะห์พัฒนาการของแฟชั่นว่า โคโค ชาแนลช่วยปลดปล่อยร่างกายสตรีให้เป็นอิสระ ในขณะที่แซ็งต์ ลอร็องต์เสริมอํานาจสตรีด้วยเครื่องแต่งกายบุรุษ กล่าวคือ เขาออกแบบเครื่องแต่งกายเพื่อเสริมความงามของผู้หญิง และเปิดโอกาสให้ผู้หญิงสามารถโชว์ความงามของเรือนร่างได้
  
          ในด้านธุรกิจ แม้ว่าแซ็งต์ ลอร็องต์จะเริ่มต้นด้วยการจัดตั้งโอต์ กูตู เฮ้าส์ ซึ่งออกแบบและตัดเย็บเครื่องแต่งกายสําหรับไฮโซและคนดังทั้งหลาย แต่ในเวลาต่อมา เขากลับพบว่า การขยายฐานธุรกิจของโอต์ กูตู เฮ้าส์นั้น ยากและลําบากกว่าธุรกิจแฟชั่นประเภทอื่นๆมาก เนื่องจากตลาดมีขนาดจํากัด ดังนั้นในปี 2509 เขาจึงจัดตั้ง Rive Gauche เพื่อผลิตและจําหน่ายเสื้อผ้าสําเร็จรูป (Ready-to-wear Boutique) แล้วจึงขยายธุรกิจไปผลิตเครื่องสําอางค์และนํ้าหอม โดยที่นํ้าหอมยี่ห้อ Opium ออกสู่ตลาดในปี 2520 เมื่อแบรนด์ YSL ติดตลาดแซ็งต์ ลอร็องต์จึงใช้ยี่ห้อ YSL ปะไปกับสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งแว่นตา ผ้าห่ม และบุหรี่

          ในเดือนมกราคม ปีค.ศ. 2002 ขณะที่ลอร็องต์มีอายุได้ 65 ปี เขาได้ประกาศอำลาวงการแฟชั่นอย่างเป็นทางการ และได้กล่าวขอบคุณคริสติออง ดิออร์ บาลองซิเอก้า และชาแนล สำหรับคุณานุปการที่มีต่อผลงานของเขา และได้ให้เหตุผลในการอำลาวงการแฟชั่นว่า ลอร็องต์บอกว่าเขารู้สึกแปลกแยกและเอียนเต็มทีกับวงการแฟชั่นในปัจจุบันที่ ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนทางธุรกิจมากกว่า ศิลปะ

          งานแฟชั่นโชว์ครั้งสุดท้ายของแซ็งต์ ลอร็องต์ Haute Couture จบลงอย่างอลังการ ด้วยน้ำตาแห่งความปรีดาและเสียงเพลง “Ma Plus Belle Histoire d'Amour” โดยแคธเธอรีน เดอนูฟ ณ Centre Georges Pompidou Art Gallery นครปารีส เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2545


....ถือว่าเป็นการจบภาระกว่า 40 ปีของนักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้...











วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

Christian Louboutin แบรนด์ชั้นนำระดับโลก

Christian Louboutin



         Christian Louboutin  เป็นดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสที่เคยออกแบบรองเท้าให้กับแบรนด์ดังต่างๆ อาทิ Chanel, Yves Saint Laurent และ Maud Frizon มาก่อน นักออกแบบรองเ้ท้าชาวฝรั่งเศส ที่มีเหล่าแฟชั่นนิสต้า และ เซเลบิตี้ ทั่วโลกขนานนานให้เขาว่า  "Sammy red-bottoms." (แซมมี่พื้นสีแดง) เนื่องจากงานรองเท้าที่พื้นถึงส้นรองเท้าของเค้านั้น จะมีสีแดง สีแดงทุกคู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกเหล่าแฟชั่นนิสต้าว่านี่แหละ คือ ซิกเนเจอร์ ของฉันเอง






หลังจากสั่งสมประสบการณ์ได้มากพอ คริสเตียน ลูบูแตง ได้ก่อตั้งร้านรองเท้าภายใต้ชื่อ Christian Louboutin ขึ้น ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นแบรนด์ดังที่รู้จักว่าเป็นรองเท้าที่ใส่สบายแม้จะมี ความสูงระดับเทพที่สูงสุดถึง 6 นิ้ว มีดีไซน์สวยที่สามารถทำให้ขาของสาวๆ ผู้สวมใส่ดูเพรียวสวยเซ็กซี่ โดยรองเท้าทุกคู่จะมาพร้อมกับสัญลักษณ์พื้นใต้รองเท้าสีแดงมันวาว ซึ่งคริสเตียน ลูบูแตง มีคอนเซ็ปที่ชัดเจนว่า เค้าต้องการทำรองเท้าให้เป็นเสมือนเครื่องประดับเก๋ๆ ของผู้หญิงสักชิ้นหนึ่ง






ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเค้าทำสำเร็จ พิสูจน์ได้จากเหล่าเซเลปบริตี้สาวระดับโลกในทุกวงการต่างก็เลือกที่จะสวม รองเท้าของคริสเตียน ลูบูแตงออกงานเพื่ออวดเรียวขากันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ซ่ารา เจสิการ์ ปาร์กเกอร์ ซึ่งถือได้ว่าสาวกตัวยงของรองเท้าแบรนด์นี้ แม้แต่ในภาพยนต์ Sex and The City 2 แครี่ก็ยังใส่รองเท้า Christian Louboutin รุ่น Gino T-strap pumps ของปี 2009 มาวิ่งเล่นอวดโฉมให้แฟนๆ ทั่วทั้งโลกได้เห็น มารายด์ แครี่ก็เลือกที่จะใส่รองเท้า คริสเตียน ลูบูแตง แพลตฟอร์มสีดำสุดคลาสสิคในงาน Release Party ของ อัลบั้ม E=MC2 ของตัวเอง หรือแม้แต่แฟชั่นไอคอนอย่างวิคตอเรีย เบคแฮมก็เป็นแฟนตัวยงของแบรนด์คริสเตียน ลูบูแตงที่ขอสวมรองเท้าแบรนด์นี้ออกงานอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้สาวๆ ในฮอลลิวู๊ดอย่าง สกาเล็ต โจฮันสัน อีวา ลองโกเลีย หรือนิโคล คิดแมน ต่างก็เลือกที่จะสวมรองเท้าคริสเตียน ลูบูแตงในงานเปิดตัวภาพยนต์ที่ตัวเองแสดงทั้งสิ้น
















 และนี่ก็เป็นภาพตัวอย่างส่วนหนึ่งของเหล่าดารา Hollywood ค่ะ


วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

Coco Chanel

โกโก ชาเนล





        Coco Chanel หรือชื่อจริง Gabrielle Bonheur ดีไซเนอร์ แฟชั่นโลก ที่ชอบไข่มุก เป็นชีวิตจิตใจ จากแฟ้ม ประวัติดีไซเนอร์ เธอเกิดในเมือง Saumur เมืองเล็กๆในประเทศฝรั่งเศส ปี 1883  แล้วตายเมื่อ 10 มกราคม 1971 อายุได้ 88 ปี เธอเกิดในครอบครัวที่ยากจน แม่เธอเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้ 6 ขวบทิ้งเธอและพี่น้องอีก 4 คน ไว้กับพ่อ ซึ่งไม่นานพ่อของเธอก็หายตัวไป เธอถูกส่งไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในแคว้น Auvergne และเติบโตที่นั่น เธอหาเลี้ยงชีพด้วยการเย็บผ้า

เรื่องราวชีวิตของ Coco Chanel นั้นเหมือนกับชีวิตของ “ อีสาวบ้านนอก ” ผู้ใฝ่ฝันและทะเยอทะยาน เหมือนกับอีกหลายเรื่องราวหลากหลายผู้คนที่พวกเราเคยได้ยิน เธอเปลี่ยนชื่อเป็น Coco Chanel เมื่อเริ่มต้นอาชีพการเป็นนักร้องในช่วงสั้น ๆ ก่อนจะไปมีความสัมพันธ์ในฐานะ “ เมียน้อย ” กับ นายทหารผู้ร่ำรวย Etienne Balsan ผู้ซึ่งเป็น รักแรกเป็นผู้อุ้มชูชีวิตเธอ เป็นนายทุนให้เธอย้ายมาอยู่ที่ ปารีส และ เปิดร้านขายหมวกแห่งแรก ด้วยการสนับสนุนของชายผู้นี้
 
เธอเริ่มงานด้าน Fashion ที่ Shop เล็กๆ ในกรุงปารีส และเปิดกิจการ Couture เป็นของตัวเองครั้งแรกในปี 1914 เธอเป็นผู้ปฏิวัติวงการแฟชั่น ด้วยการได้พบเห็น แฟชั่นโบราณ แบบเก่าๆของผู้หญิง ไฮโซ ใส่หมวกใบใหญ่ๆ เสื้อมีคลุ่ยวุ่นวาย มาเป็นการใส่ชุดแบบ ยูนิฟอร์มสีดำเท่ห์ๆ
   
กิจการของเธอต้องหยุดชะงั้กเนื่องจากสงคราม โลกครั้งที่ 1 และเปิดอีกครั้งในปี 1919 ซึ่งในช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ เธอกลายเป็น Designer ชื่อดังที่มีแต่คนเข้ามา ไม่เว้นแต่การร่วมงานกับ นักศิลปะชื่อดังอย่าง Picasso, Diaghiley ,Cocteau หรือ Dancer ชื่อดังอย่าง Serge Lifar ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เธอดังขึ้นอย่างเป็นทวีคูณ ด้วยชุดกลางวันที่ดูเรียบงายแต่แผงไปด้วยความหรู ด้วยสี ขาว ดำ เบจ หรือ สีแดงกับสี pastels(สีเจอขาว)
 
แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปารีสถูกยึดโดยนาซีเยอรมัน ทำให้เธอจำเป็นต้องปิดกิจการและไปทำงานรับใช้ชาติในฐานะพยาบาล แต่แล้วความสัมพันธ์ของเธอกับ Hans Gunther von Dicklage คู่รักซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาซี ก็ทำให้ชื่อเสียงของเธอตกต่ำและถูกเนรเทศจากสังคมชาวปารีสอยู่เกือบ 15 ปี กว่าที่เธอจะมีโอกาสได้กลับเข้าสู่วงการแฟชั่นอีกครั้งในปีค.ศ. 1954
 
Chanel ต้องปิดกิจการอีกครั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลบไปใช้ชีวิตทีประเทศสวิส เซอแลนด์ ช่วงปี 1939  8 ปีให้หลัง   หลังจากสงครามโลกเธอตัดสินกลับสู่วงการธุกิจเสื้อผ้าอีกครั้งด้วยวัย 70 ต้นๆ ในปี 1954  ผลงานของเธอในกระโปรงทรง New Look กับสายคาดเอว นำรายได้มหาศาลให้เธออีกครั้งหนึ่ง  หลังจากนั้น Jacket ไม่มีปกเสื้อบางเบาที่มีสายผูกบริเวณคอ กระโปรงสอบยาวแค่หัวเข่า รวมถึง การประดับไข่มุก และโซ่ทองในเครื่องแต่งกาย  ล้วนแล้วแต่เป็นที่นิยมอย่างสูงในสตรีไม่เว้นแต่ยุโรป
 
ช่วงปี 1922 Chanel ได้เริ่มสนใจในการผลิตน้ำหอม โดยเริ่มจาก   Chanel No. 5 เธอได้รับรางวัลมากมายและเป็นที่ไว้ใจในการดูแลเครื่องแต่งกายให้แก่สตรี ชั้นสูงหลายคน ไม่ว่าจะเป็นระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน หรือแม้แต่สตรีอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา   เธอจบชีวิตเมื่อวันที่ 10 มกราคม ปี 1971 ที่นครปารีส
 
Coco Chanel เธอประกาศกร้าวความเป็นอิสระแห่งเพศหญิง ท้าทาย  โดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ๆ เธอกราดเกรี้ยวกับแฟชั่นที่กักขังผู้หญิงอยู่ในชุดอันรัดรึง พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า นี่หรือคือผลรางวัลสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ ผู้หญิงที่รอดมาจากพิษภัยสงครามอย่างนั้นหรือ...

“ ฉันสร้างแฟชั่นสำหรับผู้หญิงที่มีชีวิต ที่ยังหายใจอยู่ และรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่สำหรับผู้หญิงที่ต้องไปทำงาน โยน คอร์เซต อันแข็งราวกับกระดูกทิ้งไป ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่จะสามารถทำงานได้ ในขณะที่ถูกกักขังอยู่ในคอร์เซตอันรัดติ้วขนาดนั้น ”

ปัจจุบันกิจการของมาดามชาแนล อยู่ภายใต้การบริหารงานของ Alain Wertheimer และ Gerard Wertheimer ซึงเป็นหลานของ Pierre Wertheimer ผู้ร่วมก่อตั้ง House of Channel โดยมี คาร์ล ลาเกอร์ฟิลด์ (Karl Lagerfield) ดีไซน์เนอร์ชาวเยอรมัน เป็นผู้ดูแลการออกแบบของผลิตภัณฑ์ชาแนลทั้งหมดในตำแหน่ง Artistic Director ซึ่งเขาก็สามารถสืบสานสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมาดามชาแนล และนำมาผสมผสานในงานของเขาได้อย่างลงตัว
 
แม้ว่ามาดามชาแนลจะอำลาโลก นี้ไปร่วม 35 ปีแล้ว แต่สไตล์ของเธอที่เป็นตำนานมากว่า 90 ปีนั้น ยังคงเป็นอมตะไม่ผิดไปจากคำกล่าวของเธอที่ว่า “Fashion comes and goes but style remains” นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมสินค้าชาแนลหลายรุ่นยังเป็นที่นิยมจนกลายเป็นรุ่น “timeless classic” เช่น กระเป๋าลายข้าวหลามตัดรุ่น 2.55 ซึ่งชื่อรุ่นมีที่มาจากเดือนและปีที่เปิดตัวกระเป๋ารุ่นนี้ คือเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 1955 หรือแจ็กเกตผ้า tweed เดินเส้นด้วยไหมเงินหรือทอง เป็นต้น
 
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Coco Chanel ก้าวขึ้นมายืนเป็นแฟชั่นดีไซน์เนอร์สุดหรูระดับไฮเอนด์ของฝรั่งเศสได้ ทั้งๆที่เธอโตมาจากเมืองเล็กๆในฝรั่งเศสเท่านั้น และไม่ได้รับการศึกษาสูงมากมาย ชีวิตของเธอต้องผ่านร้อนผ่านหนาวเจอผู้คนมาเยอะ จากการเริ่มงานในวัยสาวด้วยการเป็นนักร้องในคาบาเร่ต์ และชื่อนิคเนมว่า Coco ที่เราคุ้นหูกันดีนั้น มีที่มาจากการที่เธอ ได้ขับร้องเพลง “Who’s Seen Coco in the Trocadero” ในคาบาเร่ต์  นั่นคือ  ความฝัน  เป้าหมายที่ชัดเจน และความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ทำให้เธอเปลี่ยนชีวิตจากเด็กหญิงกำพร้าบ้านนอก สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Chanel ที่คนทั่วโลกรู้จัก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 


 

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

สงครามนโปเลียน

สงครามนโปเลียน


        สงครามนโปเลียน  เป็นสงครามต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับจักรวรรดิฝรั่งเศสของ 
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และพันธมิตรต่าง ๆ ของยุโรป และฝ่ายพันมิตรต่อต้านที่เริ่มขึ้นราว ค.ศ. 1803 และไม่ได้สิ้นสุดลงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1815 สงครามนโปเลียนเป็นสงครามที่มีสาเหตุมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศสใน ปี ค.ศ. 1789 ซึ่งเป็นการปฏิวัติที่เปลี่ยนรูปแบบของกองทัพยุโรปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะการระบบการเกณฑ์ทหารแบบใหม่ กองทหารฝรั่งเศสขยายตัวและมีอำนาจมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับชัยชนะต่อประเทศต่าง ๆ ในยุโรป แต่ก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการรุกรานรัสเซียใน ค.ศ. 1812 ในที่สุดจักรวรรดินโปเลียนก็มาพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงที่เป็นผลให้มีการรื้อฟื้นราชวงศ์บูร์บงขึ้นครองฝรั่งเศสอีกครั้ง ผลของสงครามนโปเลียนทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกยุบ และทำให้อำนาจของจักรวรรดิสเปนในการควบคุมอาณานิคมอ่อนแอลง ที่เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิวัติขึ้นในลาตินอเมริกา นอกจากนั้นสงครามก็ทำให้จักรวรรดิบริติช กลายมาเป็นจักรวรรดิมหาอำนาจต่อมาอีกหนึ่งร้อยปี

       ความเห็นที่ยังไม่ตกลงกันได้คือความเห็นที่เกี่ยวกับว่าเมื่อใดที่สงครามการปฏิวัติฝรั่งเศสสิ้นสุดลง และเมื่อใดที่สงครามนโปเลียนเริ่มขึ้น วันเริ่มต้นอาจจะเป็นวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1799 ซึ่งเป็นวันที่นโปเลียนยึดอำนาจในฝรั่งเศสด้วยการรัฐประหารวันที่ 18 บรูแมร์ (ในปีที่ 7 ตามปฏิทินสาธารณรัฐฝรั่งเศสในยุคนั้น) หรือวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1803 เมื่อมีการประกาศสงครามระหว่างบริเตนและฝรั่งเศสที่ทำให้ช่วงเวลาของความ สันติในยุโรประหว่าง ค.ศ. 1792 ถึง ค.ศ. 1814 ต้องมาสิ้นสุดลง หรือเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1804 เมื่อนโปเลียนสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิ

       สงครามนโปเลียนยุติลงหลังจากที่นโปเลียนได้รับความพ่ายแพ้ในยุทธการที่วอเตอร์ลู เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1815 และการลงนามในสนธิสัญญาปารีสครั้งที่สองในปีเดียวกัน


วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

โบสถ์ลามาเดอแลน

  L'église de la Madeleine



       โบสถ์ลามาเดอแลน (ฝรั่งเศส: L'église de la Madeleine) มีชื่อเรียกเต็มว่า โบสถ์นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา  เรียกกัน อย่างลำลองในฝรั่งเศสว่า มาเดอแลน เป็นโบสถ์สำคัญในคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ในสังกัดอัครมุขมณฑลปารีส ที่สร้างอุทิศแก่นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา ถือเป็นสถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในเขตที่ 8 ติดกับ จตุรัส เดอ ลา กงกอร์ด ทางด้านทิศใต้ ทิศตะวันออกจรดกับ จตุรัสวองโดม และทิศตะวันตกจรดกับโบสถ์แซงต์ โอกุสแตง



       
       ตัวอาคารเป็นแบบเทวสถานโรมันทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบไปด้วยเสาโรมันสูง 20 เมตร จำนวน 52 ต้น โดยนำแบบมาจากเมซอง กาเร่ อันเป็นเทวสถานยุคโรมันที่สมบูรณ์ที่สุด ที่หลงเหลือจนถึงปัจจุบัน หน้าจั่วเป็นรูปปั้นนูนสูงฝีมือของเลอแมร์ บอกเล่าเรื่องราวของการพิพากษาครั้งสุดท้าย ประตูโบสถ์ทำจากทองแดงสลักนูนต่ำเรื่องราวของบัญญัติสิบประการ ภายในประกอบไปด้วยทางเดินกลาง ด้านบนมีโดม จำนวน 3 โดม ไม่มีแขนกางเขน อันเป็นแบบวิหารโรมันทั่วไป ด้านในตกแต่งประดับประดาแบบห้องอาบน้ำตามยุคเรอเนสซองส์ และเหนือแท่นบูชามีรูปปั้นนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาขึ้นสวรรค์ ด้านบนเป็นภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าประวัติของศาสนาคริสต์


 

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

ต้นกำเนิดแบรนด์เนมสุดหรู Dior

คริสเตียน ดิออร์

 

ประวัติความเป็นมาของ Dior
      Dior เกิดขึ้นมาจาก Christian Dior  คริสเตียน ดิออร์ เกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1905
เป็นนักออกแบบเสื้อผ้าชาวฝรั่งเศส เกิดที่เมือง Granville นอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ศึกษาด้าน
การ ฑูตในกรุงปารีส  Christian Dior เริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมแฟชั่นในช่วงปี 1930 และเปิดร้านเสื้อผ้าของเขาเองในปารีส ในปี 1946 ใน  ปี 1947  Christian Dior ได้เปิดตัวแฟชั่นแนวใหม่นามว่า “New Look” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก นั่นคือ เสื้อแบบไหล่แคบ และกระโปรงยาว ซึ่งมาแทนที่เสื้อแบบไหล่กว้างและกระโปรงสั้นแบบตรงในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เสื้อผ้าแบบ “New LooK” ได้ปฏิวัติวงการแฟชั่นสตรี และทำให้ปารีสกลายเป็นศูนย์กลางของโลกแฟชั่น การออกแบบของ Christian Dior ในยุคต่อมา ได้แก่ ชุดแซ็ค (ชุดสตรีปล่อยยาวไม่มีเข็มขัด) แบบทรงตรง ยังคงทำให้ Dior เป็นผู้นำแฟชั่นในระดับสากล จนเมื่อดิออร์เสียชีวิตลง เขามีร้านเสื้อผ้าถึง 24 ประเทศ และได้รับการสืบทอดต่อมาโดย Yves Saint Laurent, Marc Bohan, Gianfranco Ferre และ John Galliano

       ปัจจุบัน Christian Dior ยังคงเป็นแบรนด์แนมชั้นนำในโลกแฟชั่นและมีผลิตภัณฑ์มากมายหลากหลาย ประเภท อาทิ เช่น เสื้อผ้าบุรุษและสตรี เครื่องหนัง เครื่องสำอาง ซึ่งล้วนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่ตกยุคค่ะ


 

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

นอร์มองดี

นอร์มองดี (Normandy)

 

        

        แคว้นนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วยภาพของโบสถ์บนยอดเขาแซ็งต์ มิเชล (Mont Saint-Michel) ซึ่งยืนหยัดท้าทายกาลเวลามาตั้งแต่ยุคที่พระในสมัยกลางได้ร่วมแรงกันก่อ สร้างโบสถ์นี้ขึ้น นอร์มองดีเป็นศูนย์รวมที่ลงตัวของธรรมชาติจากท้องทะเลอันอุดม พื้นดินที่สมบูรณ์และชุมชนอันแสนสุข

 


       ทุ่งดอกไม้ริมน้ำสีสันสดใสงามสะพรั่งที่เมืองอ็องเฟลอร์ (Honfleur) หน้าผาหินธรรมชาติเป็นรูปหัวช้างดูแปลกตาที่เอเทรอตาต์ (Etretat) สถานที่โต้คลื่นที่โดวิล (Deauville) หรือชายฝั่งเว้าแหว่งที่โกต็องแต็ง (Cotentin) เป็นจุดเด่นทางธรรมชาติริมทะเลของแคว้นนี้ ส่วนด้านในลึกเข้าไปในแผ่นดินจะมีเส้นทางชมทิวทัศน์ที่ลัดเลาะไปตามแหล่ง ผลิตน้ำไซเดอร์ (ไวน์จากผลแอ๊ปเปิ้ล) มีกังหันลมแบบเก่าเป็นระยะและเนินป่าเชียวชอุ่ม นอกจากนี้ยังมีเส้นทางสาย Pays de Caux ที่งดงาม มีบ้านเรือนที่ประดับผนังด้านนอกด้วยไม้ซุงเป็นลวดลายเรขาคณิต วิหารประจำเมืองบาเยอซ์ (Bayeux) และอารามเก่าแก่อีกหลายแห่ง ทุกที่ของแคว้นมีอะไรใหม่ๆ ให้แปลกใจและตื่นตาได้เสมอ เช่นเดียวกับที่จิตรกรและนักเขียนชื่อดังหลายท่านติดใจในความงามของแสง สะท้อนระยิบระยับบนผิวแม่น้ำแซน ความสวยเกินบรรยายของชายทะเลและบรรยากาศที่เปี่ยมเสน่ห์ของท้องถิ่นนี้เป็น แรงบันดาลในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับจิตรกรผู้มีพรสวรรค์ เช่น Millet, Eugène Boudin, Corot, Pissarro และเป็นที่ที่นักประพันธ์เอกอย่าง Victor Hugo หรือ Alexandre Dumas ผู้บิดา ใช้บรรยายเป็นฉากของนิยายชื่อดังหลายเรื่อง


        นอร์มองดีผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนในประวัติศาสตร์ที่โลดโผน เป็นแหล่งศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ มีความโดดเด่นในแทบทุกด้าน รวมทั้งเรื่องอาหารการกิน โดยเฉพาะเนยสดและเนยแข็งที่มีมากถึง 32 ชนิด ครีมสดข้นมัน ไส้กรอกเครื่องในของเมืองก็อง (Caen) และวีร์ (Vire) เหล้า Calvados หอมแรงซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น


 

 

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ความลับในขวดน้ำหอม

ความลับของน้ำหอม

  


        ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ น้ำหอม” คือเครื่องสำอางที่ยังคงเติบโตต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม ด้วยน้ำหอมคือเสน่ห์ที่สามารถใช้ปรุงแต่งให้ผู้ใช้กลายเป็นบุคคลที่น่าสนใจ ได้ในพริบตา และเสน่ห์ที่ลึกล้ำของน้ำหอมแต่ละกลิ่น ล้วนมีที่มาที่น่าตื่นเต้นน่าสนใจไม่แพ้ประวัติของอัญมณีมีค่าแม้แต่น้อยใคร จะคิดว่าอุตสาหกรรมน้ำหอมจะทำรายได้ได้ถึงปีละกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญ อเมริกันเมื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ว่ากันว่า ณ วันนี้ผู้หญิงทั่วโลกใช้น้ำหอมเฉลี่ยถึงคนละ 6 กลิ่น นอกเหนือไปจากน้ำหอมกลิ่น “พิเศษ” ที่แต่ละคนจะไม่ยอมบอกใครเป็นอันขาดถึงน้ำหอมกลิ่นลับสุดยอดของตัวเอง


         Grasse เมืองแห่งน้ำหอมของฝรั่งเศส และ ใช่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นปัจจุบันผู้ชายอย่างน้อยกว่าร้อยล้านคนทั่วโลก ต่างก็เป็นผู้บริโภคน้ำหอมกันโดยถ้วนหน้า เรียกว่าใช้กันไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว เพราะนอกจากพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆหลังอาบน้ำประเภท eau de toilet แล้ว น้ำหอมหลังโกนหนวดก็ยังเป็นสินค้าที่ขายดีติดอันดับด้วยเช่นเดียวกันตั้งแต่ ยุคโบราณมนุษย์เริ่มรู้จักนำเครื่องหอมมาใช้เพื่อระงับกลิ่นกาย ภายหลังการชำระล้างร่างกายก่อนที่จะทำการบวงสรวงเทพเจ้าพื่อให้ร่างกายมี กลิ่นที่สดชื่น และจากการใช้กลิ่นหอมเหล่านี้ผลพลอยได้ก็คือผู้ที่อยู่รอบข้างเมื่อได้กลิ่น ก็เกิดความนิยมชมชื่นใช่เพียงแต่เพื่อเทพเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือผู้เป็นชายาหรือสวามีของผู้ใช้ซึ่งล้วนเป็นบุคคล ชั้นปกครองนั่นเองจากนั้นได้มีการจำแนกกลิ่นของหอมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งดอกไม้ พืช ดินบางชนิดไปจนถึงกลิ่นที่มาจากสัตว์ นำมาสกัดและใช้ผสมกับน้ำมันเพื่อสะดวกในการแต่งแต้มไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งค้นพบในเวลาต่อมาว่ากลิ่นของน้ำมันหอมจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นเหงื่อและ อุณหภูมิของผู้ใช้


ขวดน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส 
        การใช้เครื่องหอมนอกจากจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ใช้แล้วยังเป็นการช่วย ผ่อนคลายความเครียดและความว้าวุ่นทางอารมณ์ได้ด้วย จึงมีการนำเครื่องหอมมาใช้ในการบำบัดภาวะทางจิตเป็นบางกรณี อันเป็นต้นกำเนิดของการใช้สุวคนธ์บำบัดการค้าเครื่องหอมเริ่มมีความสำคัญที ละน้อย จากเดิมที่นิยมกันตามท้องถิ่นนั้น ๆ จนเมื่อการคมนาคมเจริญขึ้นทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก ดินแดนในทวีปต่างๆ การเดินทางของเครื่องหอมได้เพิ่มมูลค่าอย่างไม่มีขีดจำกัด เครื่องหอมเหล่านี้จึงกลายเป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยมาแต่โบราณกาล แต่ปริมาณการผลิตยังไม่มากเท่ากับความต้องการของผู้ใช้จึงทำให้การตั้งราคา เป็นไปตามความพอใจของผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ ดังนั้นจึงเริ่มมีการนำกลิ่นหอมต่างๆมาผสมขึ้นด้วยกลเม็ดและความชำนาญอัน เกิดจากประสบการณ์ ตลาดเครื่องหอมจึงเป็นตลาดของชนชั้นสูงเท่านั้นการตั้งห้องทดลองเพื่อค้น คว้า สกัดกลิ่น และผสมเครื่องหอมต่างๆเริ่มแพร่หลายในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคกลาง จากนั้นในยุคของศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการนำน้ำหอมมาผสมกับสารอื่นๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่นใช้กับเครื่องเรือน ถุงมือ พัด จนถึงการนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในห้องน้ำเช่นสบู่หอม น้ำยาบ้วนปาก


 
ขวดน้ำหอมทำจากเซรามิก

        ลวดลายงดงามหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรปทั้งทวีปเข้าสู่ยุคทองของเศรษฐกิจที่ เจริญก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จึงมีการผลิตน้ำหอมออกสู่ท้องตลาดในผลิตภัณฑ์บรรจุที่งดงาม มีทั้งการออกแบบขวดและภาชนะบรรจุอย่างประณีต มีการนำขวดแก้วเจียรนัยจากหินผลึกทั้งขาวใสและสีต่างๆ ประดับด้วยลวดลายที่เขียนจากทองคำ จนกลายเป็นสินค้าที่หรูหราที่เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์และมั่งคั่งจะต้องเสาะหา มาประดับห้องน้ำและโต๊ะกระจกเครื่องแป้งนักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปรับปรุง น้ำหอมจากน้ำหอมแบบโบราณให้เป็นน้ำหอมที่ทันสมัยด้วยความรู้และความสามารถ ประกอบกับความพิถีพิถันละเอียดลออ ทำให้น้ำหอมของฝรั่งเศสเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญและต้องการในศตวรรษที่ 20 จากการตั้งชื่อกลิ่นของน้ำหอมในเชิงโรแมนติค ทั้งยังมีการออกแบบขวดบรรจุและฉลากปิดที่งดงาม มีการออกแบบที่ละเมียดละไมผิดจากผลิตภัณฑ์อื่น สินค้าเหล่านี้กลายเป็นของที่ระลึกและของฝากที่สตรีทั่วโลกร่ำร้องที่จะเป็น เจ้าของ



 
อีกรูปแบบหนึ่งขวดน้ำหอมเมือง Grasse ในแคว้น Provence
        ได้ ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการผลิตน้ำหอมของฝรั่งเศส กลิ่นหอมจากดอกไม้และพืชนานาชนิดถูกนักผสมน้ำหอมหรือ Le Nez ทำการผลิตจากการผสมกลิ่นหอมต่างๆ และมีการตั้งชื่อด้วยคำจากภาษาวรรณกรรมหรือบุคคลเป็นส่วนใหญ่ จนเริ่มมีร้านขายน้ำหอมเปิดจำหน่ายเป็นร้านเฉพาจากเดิมที่จำหน่ายร่วมกับ เวชภัณฑ์ โดยมีการตกแต่งร้านขายน้ำหอมอย่างดงามด้วยกระจกเงาและสีสันที่อ่อนโยน จนทุกคนเป็นต้องเหลียวมองเมื่อเดินผ่านเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารต่างชาติทุกชาติทุกหน่วยต่างพากันซื้อน้ำหอมของฝรั่งเศสติดไม้ติดมือ กลับบ้านเพื่อเป็นของฝากและของที่ระลึกให้กับภรรยา คู่รัก มารดา และพี่สาวน้องสาว น้ำหมอจึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความพอใจให้ผู้รับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้บริโภคน้ำหอมของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นสูงสุดในยุคร็อค แอนด์ โรล นี้เอง และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมน้ำหอมในอเมริกาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวด เร็ว แม้จะเป็นกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ราคาก็ต่างจากน้ำหอมของฝรั่งเศสอย่างมาก จนทำให้น้ำหอมของอเมริกันเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย สามารถแบ่งตลาดน้ำหอมของฝรั่งเศสได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และยังครองใจวัยรุ่นได้เกือบทั่วโลกจากการแพร่ในลักษณะของสื่อแฝงทั้งภาพใน สิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และภาพยนตร์



จากน้ำหอมต่อยอดมาถึงผลิตภัณฑสปา

        การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มจะอิ่มตัวในปลายศตวรรษที่ 20 แต่แล้วการเปิดตัวของ spa และ therapy house ต่างๆได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเครื่องหอมกลับแตกยอดต่อไปได้อย่างงดงาม เมื่อผลิตภัณฑ์เครื่องหอมถูกผลิตออกมาในรูปแบบแปลกๆใหม่ ทำให้ยอดของการบริโภคเครื่องหอมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และผลิตภัณฑ์ต่างๆล้วนถูกบรรจุในภาชนะบรรจุที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานกับความรู้ในเชิงจิตวิทยาที่เย้ายวนความต้องการของผู้ชื้อ จนตลาดเครื่องหอมทั่วทั้งโลกถูกกระตุ้นด้วยแรงซื้ออย่างมหาศาลอีกตรั้ง สวนทางกับตลาดสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆอย่างเห็นได้ชัดทุกวันนี้ประเทศผู้ผลิตต่าง ระดมนักวิชาการและนักการตลาด พัฒนาสรรพความรู้และความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อชิงส่วนแบ่งของตลาดสินค้าชนิดนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะสินค้าเครื่องหอมยังคงมีอนาคตที่สุดสดใสนั่นเอง


วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

Centre Pompidou

Centre Pompidou


       Centre Pompidou เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่ตั้ง อยู่บริเวณใจกลางเมือง กรุงปารีส ในบริเวณ Les Halles คนฝรั่งเศสมักจะเรียกว่า Beaubourg ซึ่งมีชื่อเต็มๆว่า Le Centre national d'art et de culture Georges Pompidou หรือศูนย์ศิลปและวัฒนธรรมแห่งชาติ Georges Pompidou โดยใช้ชื่อของอดีตประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสในช่วงปี 1969 ถึง 1974 ผู้ที่ริเริ่มโครงการนี้เป็นชื่อพิพิธภัณฑ์

       พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปได้มีโอกาสเข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1977 และทำการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่เมื่อปี 1997 ด้วยตัวอาคารสร้างจากแบบ ที่ชนะการประกวดออกแบบโดยสถาปนิกรุ่นใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 60 ที่ชื่อ Renzo Piano ชาวอิตาลี และ Richard Rogers ชาวอังกฤษ ลักษณะของอาคารจะเปิดโล่งให้เห็นโครงสร้างของอาคาร รูปร่างจะคล้ายเกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ อันเป็นภาพสะท้อนจากยุคอุตสาหกรรมในยุโรป หลังจากทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ ก็ได้เปิดทำการให้เข้าชมอีกครั้งตั้งแต่ปี ค.ศ 2000 เป็นต้นมา ภายในอาคารเป็นศูนย์รวมแหล่งความรู้มากมาย เช่น ห้องสมุด หอศิลป์  ศูนย์ข้อมูลทั้งด้านศิลปะ  ดนตรี  และการแสดง ด้านนอกของพิพิธภัณพ์แห่งนี้ก็จะป็นสถานที่ของศิลปินรุ่นใหม่ๆ ที่เปิดอิสระให้แสดงออกในด้านความคิด ความรู้สึก ให้กับนักท่องเที่ยว ได้ชมกันอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

คานส์เมืองแห่งโลกภาพยนตร์

เมืองคานส์ฝรั่งเศส


        ชื่อเสียงของ คานส์ (Cannes) โด่งดังในฐานะเมืองหลวงแห่งโลกภาพยนตร์ เป็นสถานที่จัดเทศกาลภาพยนตร์ ที่รู้จักกันทั่วโลกทั้งภาพยนตร์แบบปกติ การประกวดผลงานโฆษณาทุกประเภท และแม้กระทั่งหนังผู้ใหญ่ก็ใช้เมืองคานส์เป็นสถานที่จัดงานประกวดรางวัล

เมืองคานส์ อยู่ทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกของฝรั่งเศส (France) ติดกับทะเลเมดิเตอเรเนียน อยู่ในภูมิภาคที่เรียกว่า “โกต ดาซูร์” เป็น ดินแดนแห่งการพักผ่อน ไม่เคยมีฤดูหนาวที่หนาวจับจิต มีเมืองอื่นๆ เรียงราย ติดต่อกัน ทั้งเมือง อองตีบส์ นีซ แซ็งต์-ฌอง-กัป-แฟราต์ วิลฟรองช์-ซูร์-แม ทั่วโลกรู้จักกันดีในชื่อ “ริเวียร่า” นั่นเอง




        เมืองแห่งนี้มีทิวทัศน์สวยงาม ทั้งภูเขาและท้องทะเล หาดทรายที่ทอดยาวเหยียด ท่ามกลาง บรรยากาศหรูหรามีชีวิตชีวาตลอดเวลา ในช่วงเทศกาลภาพยนตร์ที่มักจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม จะมีนักเดินทางจากทุกมุมโลกมาเยือนเมืองนี้ ถึงแม้ว่าจะมีเทศกาลทางวัฒนธรรมระดับโลกที่นี่บ่อยครั้ง แต่ก็กลมกลืนกับหมู่บ้านเล็กๆ วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นเป็นอย่างดี






        ผู้มาเยือน เมืองคานส์ มักใช้เวลาเดินชมทิวทัศน์ของเมืองใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์ แวะเดินตลาดนัด หรือตระเวนเปลี่ยนร้านชิมอาหารที่ตั้งเรียงรายให้เลือกมากมาย ส่วนนักช็อปปิง มีร้านบูติกทันสมัยหลายแห่งในบนถนน Boulevard de la Croisette และ Rue d’Antibes รอคนกระเป๋าหนักอยู่เสมอ นอกจากจะเป็นย่านของโรงแรมหรูราคาแพงแล้ว ยังเป็นย่านที่มีรถสปอร์ตเปรี้ยวเฉี่ยวราคาสูงขับกันเกลื่อนถนน แหล่งช็อปปิ้งที่ต่อรองราคาได้อยู่แถวถนน  Maynadier ซึ่งนอกจากจะต่อรองราคาได้แล้ว ยังสามารถชิม
ชีสก่อนตกลงซื้อก็ทำได้ นอกจากนี้ยังมีไวน์รสชาติดี ที่ตลาด Forvile Market 
 
      ร้านค้าโดยส่วนมากจะเปิดให้บริการวันจันทร์ถึงวันเสาร์ ตั้งแต่ 10.00 น. – 19.30 น. บางร้านปิดพักเที่ยงประมาณ 2 ชั่วโมง และปิดวันอาทิตย์ โดยใครที่จะมาช็อปปิ้งในเมืองคานส์ต้องเตรียมใจ และเตรียมเงิน เพราะนักท่องเที่ยวก็ต้องเสียภาษีด้วย ถ้าเป็นอาหารการกินเสียประมาณ 5.5% ส่วนสินค้าแบรนด์เนมเสียภาษีประมาณ 20%




        สำหรับผู้ชื่นชอบกีฬาที่นี่ก็มีกีฬาทางน้ำอยู่หลากหลาย ส่วนใครจะเดินทางไปเที่ยวเกาะแก่งก็มีสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง อีกมุมหนึ่งที่บอกถึงฐานะความเป็นอยู่ของชาวเมืองนี้เป็นอย่างดีก็คือ ท่าจอดเรือยอร์ชต ซึ่งเรือยอร์ชตราคาเท่าบ้านจอดเรียงรายหน้าอ่าว เพราะคนที่นี่จะใช้เรือยอร์ชตเป็นพาหนะประจำบ้านกันทั้งนั้น


        เมื่อเดินบุกเข้าไปในย่านเมืองเก่าของคานส์ หรือ Old Port ที่เรียกว่า “ย่านซูเกต์” เป็นย่านที่อุดมไปด้วยโบสถ์และอาคารต่างๆ ที่เก่าแก่ แต่แอบซ่อนความหรูหราไว้มากมาย


        เมืองคานส์ เป็นเมืองที่เหมาะสมกับการเดินเที่ยวสะดวกมากที่สุด เพราะถนนบางสายแคบและรถติดมากหรือหากพักไกลออกไปจากดาวน์ทาวน์ก็จะใช้บริการ รถบัสก็ได้ บางคนนิยมใช้บริการแท็กซี่ ซึ่งหาได้ตามจุดเรียกแท็กซี่มิเตอร์ทั่วไป


แม้คุณจะไม่ใช่มนุษย์ผู้แบกความฝันว่าอยากเข้าไปโลดแล่นในวงการ Hollywood ก็ไม่แปลกถ้าจะเดินทางไปเที่ยวฝรั่งเศสเพื่อลองชิมรสชาติของความหรูหรา อลังการอย่างเมืองคานส์ดูบ้าง
 



        เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (อังกฤษ: Cannes Film Festival ; ฝรั่งเศส: le Festival de Cannes) เป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 ถือเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเทศกาลหนึ่ง และมีอิทธิพลมากที่สุดรวมถึงชื่อเสียง เทียบเคียงกับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
เวนิส และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน งานจัดขึ้นประจำปี ราวเดือนพฤษภาคม ที่ Palais des Festivals et des Congrès ในเมืองกาน ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส อาคารที่ ใช้ในการจัดงานเป็นอาคารขนาดเล็กสูง 2-3 ชั้น ในช่วงเทศกาล อาคารจึงจะได้รับการตกแต่งให้ดูเลิศหรูอลังการสักครั้งหนึ่ง ที่ลานด้านหน้าอาคาร มีรอยประทับเท้าพร้อมลายเซ็นต์ของดาราฮอลลีวู๊ดที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคน