Yves Saint Laurent
เมื่อกล่าวถึงอีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์ เรามักจะนึกถึงชุด Safari ชุดซีทรู สูทจับสม็อคทั้งตัว ชุดแจ็กเก็ตหนังสีดํา และผลิตภัณฑ์สวยหรูภายใต้สัญลักษณ์ YSL ของ เขา ที่มีตั้งแต่เสื้อผ้า น้ำหอม ปากกา ผ้าห่ม ไปจนถึงบุหรี่ แต่อีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์เป็นมากกว่านั้น นอกเหนือไปจากความโดดเด่นในการเป็นนักออกแบบมืออาชีพ เขายังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นของฝรั่งเศสและของโลกอย่างมากใน ฐานะนักปฏิวัติแห่งวงการแฟชั่นที่พลิกรูปแบบแฟชั่นในแบบดั้งเดิมให้มีสีสัน และรูปแบบดังที่ปรากฏให้เห็นกันในปัจจุบัน ผลงานของเขานั้นไม่ได้มีอิทธิพลจํากัดเฉพาะในฝรั่งเศสเท่านั้น แต่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการแต่งกายทั่วโลก
ผลงานในการปฎิวัติวงการแฟชั่นของเขา ได้แก่
• การ
พยายามผสมผสานวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวบ้านเข้ากับวัฒนธรรมการแต่งกายของชนชั้นสูงแบบโอต์ กูตูร์
ความคิดแหวกแนวดังกล่าวนี้เป็นเหตุให้เขาถูกให้ออกจากห้องเสื้อ โอต์ กูตูร์
ของ Christian Dior ในปี ค.ศ. 1960
• เป็นผู้ออกแบบเสื้อคอเต่า (Turtleneck) และเสื้อแจ็กเก็ตสําหรับขี่รถจักรยานยนต์ และ Bubble Skirts
• เป็นผู้นำในการออกแบบชุดทักซิโด และชุดกางเกงทำงานสําหรับผู้หญิงซึ่งเป็นภาพที่ยังไม่เคยมี
ปรากฏในสมัยนั้น ถึงขนาดที่ในปี ค.ศ. 1968 เมื่อแนน เคมป์เนอร์ (Nan Kempner) สาวสังคมอเมริกันเดินถูกห้ามเข้าภัตตาคารเริ่ดหรูในนิวยอร์คเพราะสวมกางเกง YSL!
ปรากฏในสมัยนั้น ถึงขนาดที่ในปี ค.ศ. 1968 เมื่อแนน เคมป์เนอร์ (Nan Kempner) สาวสังคมอเมริกันเดินถูกห้ามเข้าภัตตาคารเริ่ดหรูในนิวยอร์คเพราะสวมกางเกง YSL!
• ในปี ค.ศ. 1967 แซ็งต์ ลอร็องต์ ช็อควงการบันเทิงด้วยการออกแบบคอสตูมที่ดูคล้ายกับชุดทหารให้กับแคธเธอรีน เดอนูฟ ในภาพยนตร์เรื่อง Bell de Jour ชุดของเขาถูกมองว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดและผิดยุคมากในสมัยนั้นที่ผู้หญิงจะลุกขึ้นมาแต่งตัวในรูปแบบเดียวกับผู้ชาย
• การออกแบบชุด See Through ของเขาในปี ค.ศ. 1968 ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สําคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์แฟชั่น
• แซ็งต์ ลอร็องต์เป็นทั้งบิดาแห่งเมโทรเซ็กซวลและตัวป่วนวงการแฟชั่นแห่งยุคสมัย
ในการออกแบบเครื่องแต่งกายสตรี แซ็งต์ ลอร็องต์พยายาม
ทําให้สตรีมีความเป็นบุรุษ แต่ในการออกแบบเครื่องแต่งกายบุรุษ แซ็งต์
ลอร็องต์ กลับพยายามทําให้บุรุษมีความเป็นสตรี
•นำผ้ากํามะหยี่มาใช้ในการตัดชุดผู้ชาย
ใช้ผ้าไหมหลากสีเป็นผ้าพันคอสำหรับผู้ชาย
กระบวนการที่กลับกันในการออกแบบของเขาถือเป็นต้นแบบของการออกแบบเครื่องแต่ง
กายที่ไม่จําแนกเพศ ( Uni-sex Dress )
• นอกจากนี้เขายังทําลายการเหยียดสีผิวในธุรกิจแฟชั่น
โดยการริเริ่มให้นางแบบผิวดําเดินแฟชั่นโชว์
ทำให้นางแบบผิวดำและนางแบบผิวสีต่างๆ
ได้มีโอกาสแจ้งเกิดบนเวทีแฟชั่นระดับโลก จากเดิมที่จำกัดเฉพาะคนขาวเท่านั้น
• ในปี ค.ศ.1996 เขาได้ริเริ่มการจัดแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าโอต์ กูตูร์ที่มีการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ต
• ในปี ค.ศ.1996 เขาได้ริเริ่มการจัดแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าโอต์ กูตูร์ที่มีการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ต
ผลงานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์
เป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้มาก่อนกาล
โดยยึดแนวความคิดเสรีนิยมในการออกแบบ
ซึ่งเป็นแนวคิดที่จัดว่าล้ำกว่าสมัยมากในยุคของเขา ผลงานของแซ็งต์
ลอร็องต์จึงเป็นงานที่ได้รับทั้งกระแสความชื่นชมและต่อต้านไปในขณะเดียวกัน
แต่ในปัจจุบัน
กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เราทุกคนเห็นแล้วว่าเขาเป็นนักออกแบบตัวจริง
ที่มีทั้งศิลปะในการออกแบบและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างที่นักบริหารควรมี
ทางด้านชีวิตส่วนตัวนั้น อีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่เมือง Oran ประเทศอัลจีเรีย ในปี ค.ศ. 1936
เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี
พ่อของเขาเป็นผู้บริหารเครือข่ายโรงภาพยนตร์
เขาสนใจการออกแบบเครื่องแต่งกายมาแต่เล็กๆ
และพรสวรรค์ของเขาเริ่มฉายแววในการแข่งขันการออกแบบเครื่องแต่งกาย International Wool Secretariat contest ในปีค.ศ. 1954 ผลงานนี้เป็นใบเบิกทางให้เขาได้เข้าไปทํางานในสํานักออกแบบเสื้อผ้าของของคริสติออง ดิออร์ (Christian Dior Couture House) ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี จากนั้นก็กลายเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของดิออร์
หลังจากการถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันของคริสติออง ดิออร์ในปี ค.ศ. 1957 ด้วยวัยเพียง 21
ปี ลอร็องต์ซึ่งมีฝีมืออันโดดเด่น
ได้รับเลือกให้เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของห้องเสื้อดิออร์
แต่ชีวิตการทํางานของเขาที่ห้องเสื้อดิออร์มิได้สดใส
เพราะแนวความคิดพื้นฐานในการออกแบบเครื่องแต่งกายของแซ็งต์
ลอร็องต์แตกต่างจากผู้บริหารของดิออร์โดยสิ้นเชิง
เขาจึงถูกให้ออกจากงานในปี ค.ศ. 1960 หลังจากที่ได้ออกผลงานมาเพียง 6 คอลเลคชั่นเท่านั้น
จากนั้น แซ็งต์ ลอร็องต์ก็ถูกเกณฑ์ทหารเพื่อไปร่วมรบในสงครามกู้ชาติอัลจีเรีย (Algerian war of independence) ภาวะกดดันภายใต้ชีวิตทหารทำให้เขาเป็นโรคประสาทและต้องเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาล หลังการบำบัด ปิแอร์ แบร์เจ (Pierre Berge) ผู้ที่ลอร็องต์พบในงานศพคริสติออง ดิออร์ ตั้งแต่ปีค.ศ. 1957 ช่วยระดมทุนและจัดการให้ แซ็งต์ ลอร็องต์ได้เปิดห้องเสื้อ ”Yves Saint Laurent Haute Couture Hous” ขึ้นในปีค.ศ. 1962 ทั้งสองกลายเป็นทั้งหุ้นส่วนชีวิตและคู่รักแห่งวงการแฟชั่น
หากโลกแห่งแฟชั่นในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ตกอยู่ใต้อิทธิพลของโคโค ชาแนล และช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นของคริสโตบอลบาลองซิอากา (Cristobal Balenciaga) และคริสติออง ดิออร์ ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ต้องถือเป็นยุคของแซ็งต์ ลอร็องต์โดยแท้
เมื่อเข้าสู่ยุคการปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงกลางของศตวรรษที่ 19 ของชนรุ่นที่เรียกกันว่า The Beat Generation แซ็งต์ ลอร็องต์ได้ออกแบบเครื่องแต่งกายเรียกว่า Beat Look ที่เน้นความงามและความสง่าของสตรีเป็นหัวใจในการออกแบบ
ในด้านหนึ่ง แซ็งต์ ลอร็องต์เสริมความสง่าให้สตรีด้วยเครื่องแต่งกายบุรุษ
ดังเช่นด้วยท่าทางอันกระฉับกระเฉง และกลายเป็นภาพคุ้นตาในปัจจุบัน
จนนักวิเคราะห์แฟชั่นถึงกับเสนอบทวิเคราะห์พัฒนาการของแฟชั่นว่า โคโค
ชาแนลช่วยปลดปล่อยร่างกายสตรีให้เป็นอิสระ ในขณะที่แซ็งต์
ลอร็องต์เสริมอํานาจสตรีด้วยเครื่องแต่งกายบุรุษ กล่าวคือ
เขาออกแบบเครื่องแต่งกายเพื่อเสริมความงามของผู้หญิง
และเปิดโอกาสให้ผู้หญิงสามารถโชว์ความงามของเรือนร่างได้
ในด้านธุรกิจ แม้ว่าแซ็งต์ ลอร็องต์จะเริ่มต้นด้วยการจัดตั้งโอต์ กูตู เฮ้าส์ ซึ่งออกแบบและตัดเย็บเครื่องแต่งกายสําหรับไฮโซและคนดังทั้งหลาย แต่ในเวลาต่อมา เขากลับพบว่า การขยายฐานธุรกิจของโอต์ กูตู เฮ้าส์นั้น ยากและลําบากกว่าธุรกิจแฟชั่นประเภทอื่นๆมาก เนื่องจากตลาดมีขนาดจํากัด ดังนั้นในปี 2509 เขาจึงจัดตั้ง Rive Gauche เพื่อผลิตและจําหน่ายเสื้อผ้าสําเร็จรูป (Ready-to-wear Boutique) แล้วจึงขยายธุรกิจไปผลิตเครื่องสําอางค์และนํ้าหอม โดยที่นํ้าหอมยี่ห้อ Opium ออกสู่ตลาดในปี 2520 เมื่อแบรนด์ YSL ติดตลาดแซ็งต์ ลอร็องต์จึงใช้ยี่ห้อ YSL ปะไปกับสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งแว่นตา ผ้าห่ม และบุหรี่
....ถือว่าเป็นการจบภาระกว่า 40 ปีของนักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้...